วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

เอเอเอสฯ เผยโฉมปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ในงานมอเตอร์โชว์ 2015

กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เผยโฉมปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ใหม่อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ณ งานมหกรรมยานยนต์ บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2015

 

ปอร์เช่ขยายความเหนือชั้นให้กับรุ่น 911 คาร์เรร่า (Carrera) ด้วยการเสริมทัพรุ่น GTS เพิ่มเติมมาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 430 แรงม้า Sport Chrono Package และระบบช่วงล่าง PASM active damper system ที่จะทำการลดระดับของรถได้อีก 10 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดความสุนทรีย์และความสนุกสนานในการขับขี่มากยิ่งขึ้น รุ่น GTS ออกมาเสริมช่องว่างระหว่างรุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) ที่มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) และรุ่นสปอร์ตอย่าง GT3 ที่มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 475 แรงม้า (350 กิโลวัตต์) ได้อย่างลงตัว 

 

911 CARRERA 4 GTS COUPE มาพร้อมราคาเปิดตัวที่ 18,300,000 บาท

 

เกี่ยวกับปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า จีทีเอส (911 Carrera GTS)

 

ปอร์เช่ส่ง 911 คาร์เรร่า จีทีเอส (911 Carrera GTS) เจเนอเรชั่นที่ เข้าสู่สายการผลิตโดยมีทั้งหมด รุ่น ทั้งคูเป้และคาบริโอเลต (เปิดประทุน) โดยแต่ละรุ่นจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่เข้ามาเติมเต็มระหว่างรุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) และรุ่น 911 จีที3 (911 GT3) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถสปอร์ตที่สามารถวิ่งบนท้องถนนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายถึงแม้จุดประสงค์หลักในการผลิตเพื่อใช้ในการแข่งขันบนสนามแข่ง911 คาร์เรร่า จีทีเอส (911 Carrera GTS) คือ รถที่เต็มไปด้วยสมรรถนะอันเหนือชั้นผสานกับความคล่องตัว และสร้างความเพลิดเพลินในการขับขี่โดยรถสามารถสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 430 แรงม้า (316 กิโลวัตต์) มาพร้อมกับ Sport Chrono Package และระบบช่วงล่าง PASM active damper ช่วยลดระดับความสูงของรถได้อีก 10 มิลลิเมตร  ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่มากขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการเร่งและความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเหมือนกับ 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) และหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ 911 
คาร์เรร่า จีทีเอส (911 Carrera GTS) ทำได้ในระยะเวลาเพียง 4.0 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในระยะเวลา 4.2 วินาที)  ความเร็วสูงสุดของรุ่น จีทีเอส (GTS) แต่ละรุ่นมากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยมีความเร็วสูงสุดที่ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับรุ่นคูเป้ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ธรรมดาและระบบขับเคลื่อนล้อหลัง 

 

หากมองด้านจุดเด่นที่เพิ่มเข้ามาจะพบว่ารุ่นท็อปใหม่ล่าสุดมีราคาที่น่าดึงดูดใจด้วยจำนวนของอุปกรณ์มาตรฐานที่รวมอยู่ในรถที่ครบครันและคุ้มค่า อาทิเช่น ระบบไฟหน้าแบบไบซีนอน ที่มาพร้อมกับระบบ ไฟเลี้ยว Porsche 
Dynamic Light System (PDLS) และระบบท่อไอเสียแบบสปอร์ตที่ทำให้เสียงของรุ่นจีทีเอส (GTS) ดุดันและสมบูรณ์แบบ ด้านหน้าโซนคนขับและผู้โดยสารมาพร้อมกับการตกแต่งภายในด้วยวัสดุหนัง Alcantara และส่วนแผงคอนโซลกลางตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Alcantara เช่นกัน ซึ่งล้วนเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น จีทีเอส (GTS) จากปอร์เช่นั่นเอง 

 

ภายนอกของปอร์เช่ 911 ใหม่ล่าสุดจะเหมือนกับรุ่น จีทีเอส (GTS) แต่แตกต่างจากรุ่นคาร์เรร่า (Carrera) ทั่วไป โดยมาพร้อมกับตัวรถของรุ่น 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ที่มีระยะฐานล้อด้านหลังที่กว้างขึ้น ล้อขนาด 20 นิ้วถูกติดตั้งมาเป็นล้อมาตรฐานพร้อมด้วยดุมล้อสีดำ ส่วนด้านหน้าจะมาพร้อมกับชิ้นส่วนขอบที่มีสีตัดกันได้อย่างลงตัว และไฟหน้าไบซีนอนแบบ smoked bi-xenon headlights ขอบสีดำบนช่องดักอากาศจะทำให้รุ่น จีทีเอส (GTS) มีความโดดเด่นผสานเข้ากับปลายท่อ chrome-plated exhaust tailpipes สีดำได้อย่างลงตัว และนี่คือเอกลักษณ์ของรุ่น จีทีเอส (GTS)







วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

ซุปเปอร์คาร์รุ่น Koenigsegg ก็คือ CCXR

ซุปเปอร์คาร์รุ่นที่มีชื่อเสียงรุ่นหนึ่งของ Koenigsegg ก็คือ CCXR รถที่แพงและแตกต่างจากยี่ห้ออื่นมากที่สุดในโลกรุ่นหนึ่ง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นรถพื้นฐานในการสร้างซุปเปอร์คาร์สุดพิเศษอีกรุ่นหนึ่งที่ชื่อ Trevita ซึ่งแปลว่า “สีขาวทั้งสาม” ในภาษาสวีดิช เป็นการนำเอา CCXR ที่ใช้เครื่องยนต์พลังงงานชีวภาพที่ให้กำลังมากถึง 1,018 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 1,060 นิวตัน-เมตร มาทำการแต่งโฉมใหม่ด้วยการเคลือบวัสดุไฟเบอร์ด้วยสีขาวเพชรแวววับที่ใช้เทคโนโลยีเคลือบสีแบบพิเศษที่พัฒนาขึ้นโดย Koenigsegg เอง ทำให้สีวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีสีดำและลวดลายเดิมๆกลายเป็นสีขาวออกเงินแบบเพชรส่องประกายแวววาวด้วยเทคโนโลยีพิเศษนี้ และนี่คือเหตุผลของรถ Koenigsegg ที่มีราคาแพงมากๆ

Trevita ยังมีการติดตั้งระบบ Infotainment แผงอุปกรณ์มาตรวัดต่างๆ ระบบตรวจลมยาง และ paddle shift ภายนอกมีการใช้ปีกคู่ทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เบรคทำด้วยคาร์บอนเซรามิคพร้อมระบบ ABS นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบยกตัวไฮโดรลิคอีกด้วย

Koenigsegg จะผลิต Trevita ออกมาเพียง 3 คันเท่านั้น ตามชื่อรุ่นเลยคือ สีขาว 3 คัน 

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

bugatti veyron super sport ซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดและแพงที่สุดในโลก

          ซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในโลกอย่างบูกัตติ เวย์รอน (Bugatti Veyron) ทางค่ายก็เผยแผนการส่งท้ายด้วยรุ่นพิเศษที่ปรับแต่งอย่างแรงสุดยอดเพิ่มแรงม้าถึง 1,500 แรงม้า ให้ความเร็วสูงสุด 450 กม./ชม.

          บูกัตติ เวย์รอนรุ่น 1,500 แรงม้า จะเปิดตัวในปี 2014 โดยเป็นรุ่นสุดท้ายของเวย์รอนในโฉมนี้ และรถรุ่นส่งท้ายเจ้าของสถิติเร็วที่สุดในโลกคันนี้ มาพร้อมกับคำกล่าวที่ว่า “สมรรถนะทัดเทียมจินตนาการ”

          การดัดแปลงครั้งนี้ จะนำรุ่นสูงสุดในปัจจุบันอย่าง เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต (Bugatti Veyron Super Sport) มาลดน้ำหนักลง 200 กิโลกรัมด้วยดีไซน์ใหม่ผสานคาร์บอนไฟเบอร์มากกว่าก่อน จากเดิมหนัก 1888 กิโลกรัม และเพิ่มกำลังจากเดิมที่มี 1,200 แรงม้าด้วยการดัดแปลงเครื่องเดิมคือ W16 เทอร์โบ 4 ตัวของเวย์รอน ซูเปอร์ สปอร์ต ที่เพิ่มความจุกระบอกสูบ และเสริมกำลังด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจให้กำลังมากกว่า 1,500 แรงม้าเลยทีเดียว

         เนื่องด้วยเทคโนโลยียางรถยนต์ซึ่งยังไม่สามารถรองรับความเร็วสูงสุดในปัจจุบันได้มากไปกว่านี้ ทั้งแรงเสียดทานที่มากมหาศาล แรงประทะจากลม แรงต้านอากาศที่รุ่นแรง  ทำให้บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์ สปอร์ตทำความเร็วสูงสุดอย่างปลอดภัยได้เพียง 429 กม./ชม. เท่านั้น ซึ่งบูกัตติหวังจะทำให้ได้มากว่านี้ด้วยรุ่นล่าสุดที่ความเร็ว 450 กม./ชม. เลยทีเดียว โดยความเร็วระดับนี้ บูกัตติตั้งมูลค่าอย่างสมน้ำสมเนื้อไว้ที่ 7.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 240 ล้านบาท  (ราคานี้คือราคายังไม่รวมภาษีเข้าประเทศนั้นๆ   ซึ่งหากนำเข้าประเทศไทย คาดว่าราคารวมภาษี 300 % จะอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท ) 

ไฮเปอร์คาร์ SSC Tuatara

ไฮเปอร์คาร์ Tuatara ของ SSC - Shelby SuperCars Inc. โชว์ตัวเลขแรงบิดอันมหาศาล 176.5 กก.-ม. ถือเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยของสมรรถนะ โดยใช้น้ำมันออคเทน 91 เกรดพรีเมี่ยมที่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นของค่ายใด

ตัวเลขแรงบิดนี้เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ V8 ความจุ 6.9 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ เทียบกับ McLaren P1 เครื่อง V8 ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ ยังเรียกแรงบิดได้เพียง 73.3 กก.-ม. เท่านั้น (รวมมอเตอร์ไฟฟ้า = 91.7 กก.-ม.) หรือ Ferrari LaFerrari เครื่อง V12 ความจุ 6.2 ลิตร + มอเตอร์ไฟฟ้า ยังทำได้เพียง 91.7 กก.-ม.

Jerod Shelby บอสส์ใหญ่ของ SSC ดูจะพอใจกับตัวเลขชุดนี้มาก และออกโรงการันตีว่า Tuatara คือรถที่ทรงประสทธิภาพที่สุด ใช้งานได้ในชีวิตประจำวันแบบทุกสภาพอากาศ หรือแม้แต่ใช้ลงสนามอย่างนูร์บูกร์ริงก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังบังคับควบคุมได้ง่าย มีแฮนด์ลิ่งที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

ข้อมูลทางเทคนิคที่ติดค้างกันเอาไว้ Tuatara มากับความยาว 4,430 มม. กว้าง 1,991 มม. สูง 1,092 มม. วางอยู่บนฐานล้อ 2,667 มม. น้ำหนักตัว 1,200 กก. เลย์เอาเครื่องยนต์แบบ วางกลาง/ขับหลัง การกระจายน้ำหนักหน้า/หลัง 50/50 

เครื่องยนต์ V8 ความจุ 6.9 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ กำลังสูงสุด 1,350 แรงม้า ที่ 6,800 - 9,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 176.5 กก.-ม. ที่ 6,800 - 9,200 รอบ/นาทีเท่ากัน เรดไลน์ 9,300 - 10,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม. ภายใน 2.3 วินาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 444 กม./ชม.

ระบบส่งกำลังเป็นแบบธรรมดาหรืออัตโนมัติ 7 จังหวะ Direct Shift คลัทช์คาร์บอนแบบ Triple Disc ชุดเบรคคาร์บอน เซรามิค คาลิเปอร์หน้า 8 สูบ หลัง 6 สูบ ล้อคู่หน้า 19 นิ้ว หลัง 20 นิ้ว สวมยาง Michelin รุ่น Pilot Sport PS2

SSC ได้เปิดเผยราคาจำหน่ายของ Tuatara ออกมาแล้ว โดยไฮเปอร์คาร์คันนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 1.3 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 38.4 ล้านบาท
 


วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Mercedes Benz Ener-G-force

'Mercedes Benz Ener-G-force ได้รับการออกแบบด้วยเทคนิคขั้นสูงของบริษัทในแคลิฟอร์เนีย แนวคิดหลักได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถตำรวจในปี 2025 ของ Mercedes โดยนำเข้ามารวมกับเทคโนโลยีของรถ G-Class ที่ผลิตออกมานับตั้งแต่ปี 1979 

แต่ Ener-G-Force มีลักษณะเหลือเค้าโครงของ G-Class รุ่นปัจจุบันเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงสายพันธ์ุที่สืบทอดต่อกันมา

กุญแจสำคัญที่จะทำให้ Mercedes Benz Ener-G-Force กลายเป็นรถต้นแบบที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งยุคก็คือความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบการขับเคลื่อนอาศัยพลังเชื้อเพลิงจากน้ำรีไซเคิลที่ถูกกักเก็บไว้ด้านบนหลังคา ก่อนที่จะถูกส่งเข้าสู่ระบบ 'Hydro tech Converter' แปลงน้ำให้เป็นไฮโดรเจนสำหรับขับเคลื่อนได้ในระยะราว 800 กิโลเมตรเลย

ส่วนของรายละเอียดเชิงลึกด้านเทคโนโลยียังไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่เพียงแค่รายละเอียดแรกที่ได้รับก็ทำให้ Mercedes Benz Ener-G-Force กลายเป็นรถต้นแบบแห่งปี 2013 ที่ตอบสนองในใจนักเลงรถชนิดน่าจับตามองไม่น้อย

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Lamborghini Egoista

Lamborghini เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปี ก็ได้มีการเปิดเผยรถยนต์ต้นแบบล่าสุดอีกครั้งภายใต้ชื่อว่า Lamborghini Egoista Concept ชื่อว่า Egoista นั่นก็เพราะเป็นรถยนต์แบบนั่งได้คนเดียว single-seater (ตามศัพท์ Egoista เป็นภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่า "เห็นแก่ตัว") โดยรถยนต์ต้นแบบคันนี้ดีไซต์โดย Walter de Silva โดยได้แรงบันดาลใจในการการออกแบบรถยนต์ต้นแบบคันนี้ได้มาจากเฮลิคอปเตอร์อะปาเช่  Apache helicopter โดยเลือกวัสดุนำหนักเบาในการออกแบบคือ carbon fiber และตัดส่วนที่ทำให้มีน้ำหนักเยอะเกินไปออกบางส่วน เครื่องยนต์สำหรับเจ้า Lamborghini Egoista Concept คันนี้เป็นเครื่องนต์ v10 ขนาด 5.2-liter 600แรงม้า แต่ยังไม่มีแผนที่จะนำเข้าสู่สายการผลิตแต่อย่างใด 






Lamborghini Perdigón

ผลงานการดีไซน์ลัมโบร์กินี่สไตล์เครื่องบินรบนี้ มีชื่อว่า Lamborghini Perdigón ซึ่งเป็นชื่อของวัวกระทิงชื่อดัง เป็นผลงานของนายอองเดรจ จิเรค นักศึกษาด้านการออกแบบยานยนต์ปีสุดท้ายของวิทยาลัยด้านการออกแบบ เมืองพาซาดีน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหล่าเครื่องบินรบ เช่น F117 Nighthawk และ F22 Raptor